โดยปกติแล้วการที่จะมีเว็บไซต์ได้นั้น จะต้องมีระบบเว็บเซิร์ฟเวอร์เป็นของตนเอง ซึ่งจะต้องติดตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ และจะต้องเสียค่าใช้จ่าย ในการติดตั้งเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่สูงมากและต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลระบบตลอดเวลา การใช้งานแบบนี้จะเหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ และธุรกิจที่มีงบประมาณมาก การติดตั้งเซิร์ฟเวอร์เป็นของตนเอง โดยผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งหรือ Hosting Service Provider จะให้บริการรับฝากเว็บไซต์ให้กับองค์กรขนาดกลางและเล็กพร้อมทั้งให้บริการดูแลด้านระบบเว็บเซิร์ฟเวอร์ให้กับเว็บไซต์ที่มาใช้บริการ เพื่อให้สามารถออนไลน์ได้ตลอดเวลาและสามารถที่จะช่วยในการทำ SEO ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกบริษัทหรือเลือกผู้ให้บริการในด้าน Hosting ที่ดีต่อการทำ SEO จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาข้อมูลเหล่านี้ คือ
– Hosting นั้นล่มบ่อยหรือเปล่า โดยจะลองเข้าเว็บของผู้ใช้บริการอื่นๆที่ใช้บริการอยู่ว่ามีล่มบ้างมั้ย ถ้ามีและบ่อยครั้ง ก็น่าจะเป็นคำตอบได้ว่าควรใช้งาน Hosting นั้นหรือไม่ เพราะการ Check เป็นวิธีที่ดีอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้อุ่นใจได้ว่า Hosting ที่ไม่ล่มแน่ๆและคุ้มค่าเงินที่เช่าไป
– Hosting นั้นให้บริการโอนถ่ายข้อมูลเท่าไหร่ โดยข้อมูลทุกๆ อย่างที่ถูกดึงมาจาก Server นั้นถือเป็นการโอนถ่ายข้อมูลทั้งสิ้น ซึ่ง Hosting จะกำหนดอัตราการโอนถ่ายข้อมูลจำกัดไว้ในแต่ละเดือน หากที่ใดให้ปริมาณการโอนถ่ายข้อมูลไว้มาก จะ ทำให้รองรับปริมาณ ผู้เข้าชมได้มากกว่า แต่ถ้าหากอัตราการโอนถ่ายข้อมูลน้อยเกินไป และถูกเรียกใช้หมดก่อนจะครบเดือนนั้นๆ ก็จะทำให้เข้าเว็บไม่ได้
– Hosting นั้นมีการ Backup ข้อมูลทุกหรือเปล่า เพราะหากเว็บโดน Hack หรือ เปลี่ยนแปลงข้อมูลสำคัญในเว็บไปหรือข้อมูลถูกลบหน้าหายไปจะส่งผลให้ผู้ใช้ของเว็บนั้นลดลง โดย Google จะทำการดันเว็บลงไป และหากข้อมูลสำคัญถูกเปลี่ยนแปลง ก็อาจลดความหน้าเชื่อถือในเว็บได้เป็นอย่างมากและคนก็อาจไม่เข้าเว็บไซต์ ทำให้ Traffic ของเว็บลดลง และ อันดับตกลงไป
– ต้องดูว่า Hosting นั้นให้บริการถึงเวลาที่ต้องการหรือไม่ เพราะหากเมื่อไหร่เข้าเว็บไม่ได้ขึ้นมาจะหงุดหงิดเลยทีเดียวและ ยิ่งหากทำการติดต่อไปยังผู้ให้บริการ Hosting แล้วไม่มีคนรับสายเพราะอยู่นอกเวลา Support ก็จะส่งผลเสียร้ายแรงต่อ SEOเป็นอย่างมาก
– ต้องดูว่า Hosting นั้นมีการสำรองไฟหรือเปล่า ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ควรจะสอบถามกับผู้ให้บริการให้ละเอียด เพื่อจะได้

สำหรับการเปลี่ยนผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งหรือเรียกกันว่า ย้ายโฮสต์ นั้น หลายคนคงจะมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก มีข้อสงสัยต่างๆนานา เช่นตอนทำการเปลี่ยนหรือย้ายเว็บไซต์จะดาวน์ไหม(เข้าใช้งานไม่ได้) อีเมลล์จะใช้งานได้ไหม แล้วถ้าใช้งานไม่ได้เลยเมื่อไหร่จะใช้ได้ ย้ายเสร็จแล้วจะใช้งานได้เหมือนเดิมหรือเปล่า หัวข้อนี้ก็จะมาบอกตั้งแต่การเลือกโฮสต์ใหม่ การเตรียมการขั้นตอนการย้ายจนย้ายเสร็จว่าต้องทำอย่างไรบ้าง จะได้รู้กันว่าการย้ายโฮสต์ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
การทำงานของ Cloud Web Hosting คือการนำเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพการทำงานของ virtualized technology มาใช้งานโดยใช้เครื่องเซิร์ฟเวอร์ จำนวนหลายเครื่อง ต่อกันเป็น Server Farm ซึ่งจะใช้ Storage Server เก็บข้อมูล ส่วนเครื่องเซิร์ฟเวอร์จะทำหน้าที่ในการประมวลผลเท่านั้น หากเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เครื่องใดเครื่องหนึ่ง เสีย เกิดปัญหา เครื่องอื่นๆ ก็จะมีการทำงานแทนโดยอัตโนมัติ จึงทำให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้ต่อไปโดยที่เว็บไซต์ไม่ล่ม หากเกิดปัญหากับอุปกรณ์ของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ทำให้ใช้เครื่องเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ระบบ High Availability (HA) จะเริ่มกระบวนการ HA ทันที และระบบจะทำการ Restart Virtual Machine ให้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้ระบบสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับการเข้าใช้บริการได้ตลอดเวลา 24 x 7 ซึ่ง Web Hosting ของเรามี Uptime 99.99% และมีระบบป้องกัน Spam และ Virus ที่ได้ผล 99.99% บวกกับประสิทธิภาพของ Server ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ Cloud Computing Technology ซึ่งดูได้จาก สเปคของเครื่อง Cloud Server ที่สูงมาก และเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์จริงๆ (ไม่ใช้ PC มาทำ) ไม่เหมือนกับ Hosting บางรายที่ ราคาถูก ให้พื้นที่เยอะ แต่ประสิทธิภาพไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเวลาที่มีผู้เข้ามาใช้เป็นจำนวนมาก อาจทำให้ CPU ทำงานหนัก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ Web Hosting หรือ Host ล่ม
















